Skip to main content

ชื่อเสียงบนกระดาษ


" Try not to become a man of success
  but rather to become a man of value. "

-- Albert Einstein


ช่วงเดือนก่อนมีเพื่อนของคุณพ่อเอาหนังสือพิมพ์มาให้ (ไทยรัฐ) ก็งงๆ ว่าเอามาให้ทำไม เลยพบว่า อ้าวมีข่าวไร้นามลงหนังสือพิมพ์นินา (หน้าข่าวสังคม ลงทั้งภาพ ทั้งชื่อ ทั้งนามสกุล) ยังงงๆ อยู่ว่าใครเอาไปลงแล้วรู้ชื่อนามสกุลจริงเราได้ไง พอไร้นามเอามาดูเสร็จก็วางทิ้งไว้ตรงมุมตู้หนังสือ อาทิตย์ก่อนเพื่อนแวะมาเที่ยวบ้าน แล้วก็คุยกันเรื่องลงหนังสือพิมพ์ (คือเพื่อนก็มีข่าวลงหนังสือพิมพ์) ก็เลยหยิบให้ดูหน่อยว่าแปลกดีที่ใครก็ไม่รู้เอาชื่อไร้นามประกอบรูปไปลงแล้วก็เอาไปไว้ที่เดิม (ซึ่งมีหนังสือ ฯลฯ วางทับอยู่ก่อนดึงออก) เพื่อนก็โวยวายใหญ่ ว่าทำไมไม่ดูแลดีๆ ไม่ตัด/ไม่เอาไปเคลือบเหรอ?

แต่ทุกวันนี้หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ก็ยังกองอยู่ตรงนั้น... และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไร้นามทำอะไรประมาณนี้ จำได้ว่ามี column นึงลงหนังสือพิมพ์ มติชน สมัยจบใหม่ๆ (ประวัติที่จบได้ที่หนึ่งมหาลัยอะไรประมาณนั้น) ลงรูป ลงภาพ ลงประวัติ เป็นมุมพิเศษ พออ่านหนังสือพิมพ์เสร็จ... แล้วมันก็ผ่านไปหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ (ไม่ได้เก็บไว้)... สัมภาษณ์ออก ITV สมัยก่อนโน้นก็ไม่ได้อัดไว้ (จริงๆ คือไม่ได้มาตามดูด้วยซ้ำ แหะ แหะ) ฯลฯ...

มีใครบ้างไหม ที่เรียนจบ PhD จากเมืองนอกมา แล้วเผลอเอาใบปริญญาบัตร (ปริญญาโท & เอก) รวมไปกับขยะทิ้งไป? เพราะไร้นามเห็นปริญญาเป็นเพียงกระดาษแผ่นหนึ่งจริงๆ (ความรู้/กระบวนการคิดอยู่ในหัว) จำได้ว่าตอนเข้างาน (พอดีไม่ได้สมัครงานแต่โดนเรียกมาเพราะรู้จักกันอยู่แล้วเลยไม่ต้องใช้ใบปริญญา) แต่สุดท้ายตอนเซ็นต์สัญญาเข้างานต้องเอาใบปริญญามาให้แผนกบุคคลเก็บเป็นหลักฐาน ตอนนั้นวุ่ยวายเลย เพราะต้องเขียนจดหมายไปขอให้เคมบริดจ์ออกใบปริญญามาให้ใหม่ (ซึ่งปัจจุบันนี้ - วันก่อน รื้อๆ กองเอกสาร ก็เจอใบปริญญาเอกแทรกอยู่ /ขนาด A4 รวมกับพวกเอกสารธรรมดา ^^') ใครๆ ก็บอกว่าปริญญาเอกเลยนะ ให้เอาไปใส่กรอบแขวนไว้เลย ไร้นามก็ยังรู้สึกเฉยๆ และก็เอาปริญญาเอก โท กองรวมกับกระดาษพวกนั้นต่อไป...

น้องๆ ที่บริษัทและพวกเด็กๆ วงการคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบันตอนนี้ดูจะเห่อๆ การสอบใบ certificate ไร้นามเห็นแล้วสะท้อนใจยิ่งนัก เพราะเป็นการท่องตำราไปสอบ ใครท่องได้ ก็สอบได้ แต่การปฏิบัติจริง... ก็ต้องว่ากันอีกที... พอถามไปว่าได้ใบ cer แล้วดียังไง... หลายๆ คนก็ตอบว่าเป็นที่ยอมรับ (?) ไม่รู้เด็กๆ รุ่นหลังจะรู้ไหม ว่าคนดังในวงการคอมพ์เรานั้น ไม่ค่อยสนใจพวกนี้เลย (นอกจากอยากไปทำงาน consult) เช่น Bill Gates ก็ทิ้งปริญญาไม่เรียนตรีให้จบเลย ออกไปทำงาน, พวกคนที่ invent ระบบคอมพ์ต่างๆ ของโลกเช่นเพื่อนๆ ของไร้นามที่ทำงานกันที่ Microsoft Research Lab เคมบริดจ์ หรือ เพื่อนที่สถาบันวิจัยอย่าง Cambridge MIT Institute หรือเพื่อนสมัยฝึกงานเอกชนที่ IBM UK ที่ไร้นามได้พบได้เจอมาเค้าก็ไม่ได้ห่วงสอบใบ cer หรือห่วงหารับคนมีใบ cer เข้าไปทำงาน แต่เค้าคนหาคนที่ "รู้" มาสร้างงานใหม่ๆ หรือทำงานที่มีให้ work ได้ออกมา...

กลับมาเมืองไทยหลายๆ ครั้งไร้นามรู้สึกเบื่อๆ กับสังคมที่เห็นกระดาษ ดีกว่าการพิสูจน์ด้วยความสามารถ บางคนก็บอกว่าถ้าไม่มีกระดาษที่รับรองอะไรเลย จะรู้ได้อย่างไรว่าคนๆ นั้นมีความสามารถ? แต่ไร้นามอยากถามกลับกัน... สำหรับคนที่มีกระดาษมากๆ เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าคนๆ นั้นมีความสามารถในภาคการปฏิบัติจริง? ไร้นามชอบสังคมที่คนเรารักจะทำอะไรก็ทำจนเชี่ยวชาญจริงๆ และอยู่กับมัน แล้วคนอื่นเมื่อเจอปัญหาที่ความเชี่ยวชาญเค้าจะช่วยเหลือได้ก็เชิญให้มาช่วยเหลือกัน ถ้าเป็นแบบนี้ความรู้มวลรวมของไทยจะแข็งขึ้น แต่สังคมไทยเรากำลังสร้าง เด็กรุ่นใหม่ ที่สร้างชื่อเสียงขึ้นมาจากการสะสม 'กระดาษ' แล้วนำมาใช้อ้างขอมาแก้ปัญหาด้วยมีวุฒิ แต่พอปฏิบัติจริง หลายๆ คนที่มีกระดาษรับรองว่าผ่าน cer อันนี้ อันนั้น ก็กลับแก้ไม่ได้ คราก่อนมีปัญหาระบบใหญ่มากระบบหนึ่ง เรียกคนที่มี 'กระดาษ' เยอะมากสุดในเมืองไทย มาทำงานเรียกมาลองหลายคนค่าแรงต่อวันเหยียบแสน! กลับแก้ไม่ได้ ไร้นามเดินไปถามคำถามง่ายๆ ที่คนที่เคยทำงานด้านนี้ในชีวิตประจำวัน ต้อง "รู้" กลับตอบว่า ขอโทษนะครับ... ผมไม่คุ้ยเคย... พอเรามี idea อะไร ก็... ประมาณอย่าลองเลยครับ ทฤษฏีมันห้ามไว้... เสื่อมศรัทธาไปเลย... (แล้วจะจ้างผู้เชี่ยวชาญอันดับหนึ่งด้านนี้มาทำไมให้เสียเงิน ซื้อตำรามาศึกษาเองทำเองดีกว่าไหม!)... สุดท้ายก็ตัดสินใจทำนอกทฤษฏีก้นเองเตะไอ้พวกนั้นออกไป (หลายบริษัท)... ทุกอย่างก็ work... นี่หรือสังคมวงการธุรกิจคอมพิวเตอร์เมืองไทย รู้อะไรกันแค่ผิวๆ สะสมกันแต่กระดาษ สร้างชื่อเสียงด้วยกระดาษ ทำงานได้ตามตำรา/ทฤษฏี อะไรนอกคอก ไม่กล้าทำ (ไม่กล้าลอง ไม่คิดจะลองหลายๆ วิธีก่อนไปอาสาทำงานให้คนอื่น)

แต่ก็ยอมรับว่ามีหลายๆ คนที่แหวกแนวออกมา คนไทยเก่งๆ จริงๆ โดยไม่ยึดติดกับกระดาษก็มี หรือโดยมีกระดาษติดตัวมาตามความสามารถก็มี แต่สังคมไทยเรากำลังทำให้วงการทั้งวงการต้องเสียชื่อโดยการออก 'กระดาษ' กันเกลื่อนกราดให้กับคนที่ทำงานไม่เป็น (ทำ"ได้" กับ ทำ"เป็น" นั้นไม่เหมือนกัน) แต่มีแรงอ่านตำรา และ มีตังค์สมัครสอบใบ cer ออกมาในตลาดแรงงานอย่างมากมาย ถ้าระบบของไทยเรายังเป็นแบบนี้ต่อไป แล้วถึงวันนึงศรัทธาต่อ 'กระดาษ' ที่มากมายนั้นๆ มันจะด้อยค่าลง ด้วยเพราะตัวกระดาษมันนั้นเองจะลดคุณค่าตนเองไป...

มองไปในโลกลวง
มีบ่วงหลอกลุ่มหลง
ตรากฏเกณฑ์ปักลง
สร้างพงให้หลงเดิน

กระดาษก่อชื่อเสียง
ก็เพียงสิ่งผิวเผิน
ความรู้ช่างหมางเมิน
สรรเสริญเพียงแต่เงา

ทำงานด้วยใจรัก
รู้จักใช่ไหมเจ้า
ศึกษาสร้างค่าเรา
ให้เท่าที่พึงเป็น

เพื่อเกิดภาคภูมิใจ
อยู่ไหนคนจะเห็น
ถึงค่าที่คุณเป็น
ซ่อนเร้นในตนเอง
 


Create Date : 11 กันยายน 2550

Comments

Popular posts from this blog

Dubai

  เมืองใน เขตร้อน ทะเลทราย สมัยก่อนเคยมา Dubai เร็วๆ แวะตอน Transit แต่ไม่ได้มีเวลาเที่ยวละเอียด คราวนี้เลยลองมา Dubai แบบยาวๆ หน่อย เลยทำให้มีเวลาดูอะไรๆ มากขึ้น ภาพแรกด้านบนคือย่านตลาดเก่า Heritage Village ที่ขายของท้องถิ่นเชิงวัฒนธรรม ภาพที่สองด้านบนคือภาพสถานีรถไฟฟ้าทันสมัยที่สามารถเดินทางได้สบายด้วยบัตร Nol Card (ซื้อได้ด้วยบัตรเครดิต) ส่วนภาพด้านล่างคือป้ายรถเมล์ทันสมัยติดแอร์เย็นๆ เดิดูปลอดภัยมากๆ สร้างจน กลับกลาย เป็นสวรรค์ ภาพข้างบนคือภาพข้างในรถเมล์ที่นอกจากจะนั่งสบายแอร์เย็นฉ่ำๆแล้ว ยังบอกละเอียดว่าตอนนี้อยู่ป้ายรถเมล์ไหน กำลังจะไปไหนและคาดว่าจะถึงที่ไหนในอีกกี่นาทีเป๊ะมากๆ (ยังไม่พอคือเชื่อมข้อมูลกับ App ได้เป๊ะมากๆ ดูรถเมล์รออะไรๆ คือเดินทางสบายระดับหนึ่ง) – ภาพข้างล่างคือไปเยี่ยมชม Museum of the future เมื่อคน ตั้งใจ ร่วมมือกัน ภาพข้างบนคือหุ่นยนต์ผลิตน้ำหอมใน Museum of the future / ส่วนข้างล่างคือลองแวะไปใช้บริการสปา ของ ร.ร. Armani ที่อยู่ข้างในตึก Burj Khalifa ที่สูงที่สุดในโลก เป็นสปาที่ หรูหราอลังการ สบายมากๆ (ไม่ได้ถ่ายรูปข้างในเพราะพอเข้าไปก็เอามือถือไปเก็บในล็...

ภูเก็ต - Day 1

ระยะทาง... เป็นห้วงห่างสร้างความหมาย ผ่อนอารมณ์พอระบาย จนยิ้มง่ายกับชีวิต วันหยุดอาทิตย์ก่อน ไปภูเก็ตมา นับเป็นการเดินทางไปเยี่ยมดินแดนไข่มุกอันดามันอันลือชื่อเป็นครั้งแรกหลังจากที่ฟังเพื่อนๆ ชาวต่างชาติมาชื่นชมให้ฟังถึงความงดงามของที่นี่มานาน การเดินทางคราวนี้จุดหมายหลักคือมาร่วมงานแต่งงานของเพื่อนสนิทสมัยมหาวิทยาลัย (ทั้งคู่) ทำให้เพื่อนๆ ที่สนิทกันสมัยวิศวะเกษตรกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เสียดายที่หลายๆ คนมาไม่ได้จึงมีเพื่อนๆ ร่วมรุ่นมาร่วมขบวนการกันอยู่เพียง 4 คน... โชคชะตา... แม้ฝืนกล้าท้าลิขิต ลวงเวลามาเป็นมิตร ก็เพียงจิตคิดห่างไกล วันแรกที่มาถึงพวกเราก็ลงขันเช่ารถกัน จุดหมายแรกคืออุทยานแห่งชาติสิรินาถแป๊บนึงแล้วก็ขับเข้าเมือง หลงทางกันพอควรทำให้พลาดสถานที่ที่ตั้งใจเที่ยวไป แล้วก็หิวตาลายหาข้าวเช้าติ่มซำกินกันแล้วก็เดินเล่นเล็กน้อยในตัวเมือง เสร็จแล้วก็ตรงไปยังที่พัก งานนี้ต้องขอบคุณติ๊ก เพื่อนผู้น่ารักที่เคยไปเรียนปริญญาโทที่เคมบริดจ์รุ่นเดียวกันกัน ที่เอื้อเฟื้อจัดหาสถานที่ให้ ที่พักเป็นโรงแรมสีขาวสะอาดสะอ้านชื่อ rawai beach resort ที่หาดราไวย์... สายลมร้อน... มิอาทรตอนอ่อ...

Rome

ภาพเก่าเงาสะท้อน ให้มองย้อนถึงวันวาน ความหลังอันหอมหวาน จึงจดจารลงทรงจำ กรุงโรมประเทศอิตาลี เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ฉันใฝ่ฝันมานานว่าจะได้มาซักครา และแล้วในที่สุดก็ได้มา เมืองนี้เป็นเมืองที่มีอะไรเยอะมาก ฉันถ่ายรูปมาหลายร้อย และคัดรูปมาลงเพียงสิบกว่าภาพ มีหลายภาพที่คัดมาแล้วตัดออกด้วยความเสียดาย -- เพราะก็ไม่อยากทำ blog ด้วยภาพเยอะนัก :) ภาพงามความตรึงใจ ยังสวยใสให้ดื่มด่ำ จนต้องมาเพ้อพร่ำ ใส่ถ้อยคำ... จารกวี ภาพด้านบนสุดเป็นภาพวิวริมแม่น้ำไทเบอร์ตอนพระอาทิตย์ตก ภาพถัดลงมาเป็นอาหารเย็นของที่นี่ ภาพถัดลงมาเป็นวิวสระน้ำของโรงแรมที่มองเห็นได้จากหน้าต่าง และภาพด้านบนคือ Colosseum หนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันอยากมากรุงโรม @^_^@ สูงส่งเกินบรรยาย สื่อความหมายสร้างศักดิ์ศรี สร้างสรรอย่างพอดี ให้คนมีความทรงจำ หินที่สร้างขึ้นมาเป็นโครงดูแล้วเริ่มผุกร่อนเป็นหลุมๆ ลงไป (ดั่งภาพด้านบน) มีการบูรณะก่อสร้างบ้าง แต่ก็ต้องทึ่งว่าสมัยก่อนชาวโรมันคงยิ่งใหญ่มาก ขนาดสร้างสนามกีฬาใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมาได้ น่าเสียดายที่อาณาจักรที่ยิ่งให...