Skip to main content

Posts

Showing posts from April, 2019

สมการความรู้สึก

ไม่รู้ว่าทุกคนคิดเหมือนฉันไหม? ฉันคิดว่าเรื่องราวที่วุ่นวายอันหนึ่งของชีวิต ที่ยากกว่าตำราเรียน หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ก็คือเรื่อง "ความรู้สึกของคน" คือคนเราไม่สามารถใส่สมการ หรือ Inputs อะไรเข้าไปให้คนอื่น เพื่อให้คนอื่นทำ Outputs ตามที่เราต้องการได้ (หรือบางคนอาจจะทำได้... แต่สำหรับฉัน ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ) มีตำราเล่มหนึ่งที่ฉันเคยอ่านเค้าเขียนเรียบง่ายแต่โดนใจว่า "คนเราจะไปควบคุมความรู้สึกคนอื่นได้อย่างไร ถ้ายังควบคุมความรู้สึกของตนเองไม่ได้" (จริงๆ เป็นหนังสือแนวตามรู้ดูจิต สอนง่ายๆ ประมาณว่า จิตมีไว้ให้รู้ อย่างถ้าจะไปบังคับมันให้นิ่งก็เป็นเรื่องไม่ถูกเพราะไม่ใช่ธรรมชาติของมัน... เพราะจะได้เห็นแค่สภาพจิตถูกบังคับให้นิ่งก็เท่านั้นเอง... อุ๊บส์ เริ่มเป็นแนวธรรมะ เดี๋ยวผู้อ่าน จะหลับเสียก่อน /เปลี่ยนแนวๆ) กลับมาเป็นแนวทางโลกบ้าง ฉันสังเกตุมาหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่อง "สมการความรู้สึก"... คนเราหลายคนมักจะหลงเข้าใจผิดว่า สมการความรู้สึก (feeling) จะเป็นอะไรที่ง่ายๆ เหมือนสมการของแรง (force) ที่ว่าตามกฏของ Newton Action=Re-action (ใน Domain ของ Fo

จังหวะชีวิต

ดื่มด่ำชีวิต ลิขิตความฝัน ด้วยทราบเท่าทัน นิรันดร์ใช่มี สร้างท่วงทำนอง สอดคล้องกวี ใส่บทที่ดี ให้ชีวิตตน   Create Date : 26 กรกฎาคม 2552

Live as if this was paradise on earth

ภาพ:  มุมสวยๆ ในเมืองกรุง คราก่อนได้ข้อความดีๆ ส่งจากเพื่อน (แถวๆ นี้นี่เอง อิอิ) ซึ่งชอบมากเลยว่า  Work  like you don't need the money Love  like nobody has ever hurt you Dance  like nobody is watching Sing  like nobody is listening Live  as if this was paradise on earth หลังๆ เลยรู้สึกว่า จริงๆ แล้ว คนเราจะสุข หรือ จะทุกข์ ก็อยู่ที่ตัวเราเองว่าอยากจะเป็นแบบไหน ถ้าเราอยากมีความสุข เราก็ "ทิ้ง" ความทุกข์ซะ ความสุขก็สามารถกลับมาเคาะประตูหัวใจเราเพื่อขอกลับเข้ามาอยู่ได้อย่างง่ายดาย ฉันค้นพบว่ามันง่ายดายมากทีเดียวที่คนเราจะสร้างสวรรค์บนดินขึ้นมาจากใจตัวเอง แต่นั่นแหล่ะค่ะ ความสุขก็ไม่ใช่ของจีรัง ทุกวันๆ ทุกคนๆ ก็จะมีสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ วิ่งเข้ามากระทบได้เรื่อยๆ สิ่งที่ดีที่สุดที่จะรักษาใจเราให้อยู่รอดไปได้ก็คือการมี "สติ" อยู่กับปัจจุบันนั่นเอง แล้วล้อคลื่นรื่นรมย์ชมชีวิต เย้ยลิขิต ปลิดปลง ปลดสงสัย สิ่งใดพบสิ่งใดพรากปล่อยจากไป เหลือเพียงใจกระทบรู้ดูแล้ววาง คลื่นกิเลศ เลศร้อย พาคล้อยเชื่อ เกือบหนุนเกื้อ เจือจิต ให้คิดห่าง สิ่งเหนื่ยวใจ เรียกให้เห็น เ

ท่วงทำนองของชีวิต

กลิ่นอายของวันวาน พบพานเพียงสักครั้ง ยิ้มยลกับความขลัง พลังของเวลา... คราก่อนมีเวลาไปดูการขับร้องประสานเสียงที่โรงแรม Oriental พอดีไปถึงเร็วกว่าเวลาเล็กน้อยเลยไปหาร้านอะไรซักอย่างนั่งเล่นรอเวลา พนักงานใจดีแนะนำว่ามีร้านน้ำชาอยู่ในโซนเก่าของโรงแรมที่น่ารักพอสมควรอยู่มุมหนึ่ง พอเดินไปดูแล้วก็พบว่าเป็นสถานที่ๆ สวยงามน่าประทับใจมากเลยทีเดียว ด้วยบรรยากาศเย็นๆ โปร่งๆ ขาวสะอาดสดใส ท่ามกลางสถาปัตยกรรมแบบไทยโบราณในยุคก่อร่างสร้างตัว... เพลินใจในทำนอง ครรลองของคุณค่า เรื่องราวที่ผ่านมา ร่ำลาแล้วพร้อมเดิน... การขับร้องประสานเสียงเป็นประสบการณ์ที่ดีอีกอย่างหนึ่ง นานแล้วที่ไม่ได้ฟังภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษแท้ๆ ทำให้อดหวนถึงวันคืนดีๆ ที่มหาลัยเคมบริดจ์ไม่ได้ อีกอย่างคือการได้เห็นพรสวรรค์ของเด็กๆ รุ่นใหม่ที่มีความสามารถหลากหลายทั้งขับร้องและประพันธ์เพลง ฉันพริ้มตาฟังท่วงทำนองที่ขับร้องอย่างเพลินใจ เหมือนกับว่าทำนองเพลงเหล่านั้นกำลังเล่าเรื่องราวที่หลากหลายของชีวิตคน แล้วให้รู้สึกขบขันกับวัฏสังสารเสียนี่กระไร ชีวิตหลายๆ ชีวิตนั้นเกิดมาเป็นดั่งเช่นละคร มีขึ้นมีลง มีสุขมีเศร้า เรื่อยไป... ปล่อ

เรื่องราวของการรอคอย

" Patience is the companion of wisdom. " -- Saint Augustine ตั้งแต่เล็กๆ ฉันเหมือนเป็นคนที่ค่อนข้างมีความอดทนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเรื่องของ "การรอคอย" เวลาที่มีนัดอะไร ถ้าฉันต้องเป็นฝ่ายรอฉันก็ไม่ค่อยจะเบื่อนัก จำได้ว่าตอนเด็กๆ มัธยมปลาย เคยไปเข้าค่ายฟิสิกส์โอลิมปิกเป็นตัวแทนภาคกลาง จะมีช่วงรอโน่นรอนี่ที่ค่อนข้างนาน นั่นก็เป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มแต่งบทกวีเรื่อยๆ เปื่อยๆ เป็นชิ้นเป็นอันระหว่างรอ... เก็บดาดาวพราวพร่างกลางห้วงฟ้า กอปรเวลามาร้อยรอยภาพฝัน กำเนิดภาพทราบซึ้งตรึงนิรันดร์ ก่อนคืนวันผันผ่านกาลเปลี่ยนแปร นับแต่นั้นมาฉันไม่เคยรู้สึกเบื่อการรอคอยเลย ถ้ามีจังหวะว่างต้องรอคอยอะไรนานๆ หลายๆ ครั้งฉันก็แต่งบทกวี (แต่หลายๆ ครั้งก็นั่งเฉยๆ ดื่มด่ำกับความเงียบสงบที่นานๆ ทีจะแวะเวียนเข้ามาทักทาย) ถ้าพูดถึงการรออะไรที่จับต้องได้ ครั้งที่รอนานที่สุดก็คือการรอเครื่องเที่ยวบินที่กรุงกาต้าร์ (รอประมาณหนึ่งวันเต็มๆ โดยไม่รู้ชะตากรรมว่าจะได้ขึ้นเที่ยวไหน เพราะไร้นามโดนเจ้าหน้าที่ที่ด่านที่นั่นกักตัวยึด passport เลยต้องไปเคลียร์กัน - ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทราบว่าทำไมเค้าถึงยึด p

ชื่อเสียงบนกระดาษ

" Try not to become a man of success   but rather to become a man of value. " -- Albert Einstein ช่วงเดือนก่อนมีเพื่อนของคุณพ่อเอาหนังสือพิมพ์มาให้ (ไทยรัฐ) ก็งงๆ ว่าเอามาให้ทำไม เลยพบว่า อ้าวมีข่าวไร้นามลงหนังสือพิมพ์นินา (หน้าข่าวสังคม ลงทั้งภาพ ทั้งชื่อ ทั้งนามสกุล) ยังงงๆ อยู่ว่าใครเอาไปลงแล้วรู้ชื่อนามสกุลจริงเราได้ไง พอไร้นามเอามาดูเสร็จก็วางทิ้งไว้ตรงมุมตู้หนังสือ อาทิตย์ก่อนเพื่อนแวะมาเที่ยวบ้าน แล้วก็คุยกันเรื่องลงหนังสือพิมพ์ (คือเพื่อนก็มีข่าวลงหนังสือพิมพ์) ก็เลยหยิบให้ดูหน่อยว่าแปลกดีที่ใครก็ไม่รู้เอาชื่อไร้นามประกอบรูปไปลงแล้วก็เอาไปไว้ที่เดิม (ซึ่งมีหนังสือ ฯลฯ วางทับอยู่ก่อนดึงออก) เพื่อนก็โวยวายใหญ่ ว่าทำไมไม่ดูแลดีๆ ไม่ตัด/ไม่เอาไปเคลือบเหรอ? แต่ทุกวันนี้หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ก็ยังกองอยู่ตรงนั้น... และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไร้นามทำอะไรประมาณนี้ จำได้ว่ามี column นึงลงหนังสือพิมพ์ มติชน สมัยจบใหม่ๆ (ประวัติที่จบได้ที่หนึ่งมหาลัยอะไรประมาณนั้น) ลงรูป ลงภาพ ลงประวัติ เป็นมุมพิเศษ พออ่านหนังสือพิมพ์เสร็จ... แล้วมันก็ผ่านไปหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ (ไม่ได้เก็บไว้)

กับความเปลี่ยนแปลง...

กับความเปลี่ยนแปลง เกิดแรงผลักดัน พอมุ่งสู่ฝัน รู้ทันชีวิต นภาไพศาล ตระการวิจิตร ยลมองตรองคิด ทราบสิทธิ์แห่งตน * @ }---,---'------ *หมายเหตุ:  ตั้งใจแต่งกลอนข้างบนให้เป็นรูปปีกนก (ดูอิสระดี)  

เพียงฉันท้าทาย...

นั่งคิดขีดเขียน เล่าเรียนชีวิต ลองถูกลองผิด ลิขิตสิ่งฝัน ใฝ่ใจศึกษา พอมากำนัล เพื่อสิ่งใดนั้น? เพียงฉันท้าทาย... ก้าวย่างทางไกล ใช่ไร้ความหมาย พ้องเพื่อนมากมาย สร้างสายสัมพันธ์ ทุกข์สุขหรือเศร้า หงอยเหงาผกผัน สดชื่นคืนวัน แบ่งปันกันไป จวบจนจบมา พร้อมกล้าก้าวใหม่ เส้นทางยาวไกล มิใช่สุดทาง เล่าเรียนอีกครา ร่ำลาความว่าง ในสิ่งที่ต่าง แผ้วทางนิรันดร์ ทำงานเต็มแรง เติมแสงใส่ฝัน เพื่อสิ่งใดนั้น? เพียงฉันท้าทาย... หมายเหตุ:  ภาพโต๊ะทำงานช่วงปี 2001 สมัยปริญญาเอกปีสอง บ่นๆ กับซุปว่ากลัวปวดมือ ปวดตาเวลาทำคอมพ์เยอะๆ ซุปก็เลยซื้อจอแบน 17" และ Microsoft Natural Keyboard & mouse ให้ สมัยนั้นหรูหราเชียว  ส่วนบทกลอน จุดประกายมาจาก คนชอบมาถามว่าทำไมไร้นามชอบทำอะไรไม่ค่อยเหมือนใครเช่น เรียนด้านหนึ่งก็เปลี่ยนไปอีกด้านนึง ทำงานด้านนึงก็ไปเรียนอีกด้านนึง... ก็จะบอกว่า... ชอบทำอะไรหลายๆ อย่างแตกต่างกันเพียงเพราะรู้สึกว่ามันสนุก... เพียงเพราะเป็นคนที่ชอบทำอะไรที่รู้สึกว่าท้าทายตัวเอง   

เหมือนฝันวันวาน...

หลับตื่น... ยิ้มรับกับไออุ่น แสงแดดแห่งอรุณ ว้าวุ่นจักบรรเทา เหมือนฝัน... วันวานผ่านพอเหงา ปล่อยปลดให้พ้นเงา เรื่องเศร้าจักจบไป เดินต่อ... ร้อยเรื่องชวนฝันใฝ่ ชีวิตอีกยาวไกล เริ่มใหม่ไม่ยากเกิน @ }---'---,-----

ฤดูหนาว

ฤดูหนาวปีแรกของฉันที่แดนไกล สิ่งที่ฉันชอบที่สุด คือช่วงชีวิตที่ได้ไปอยู่ในเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งชื่อ Melbourne กับคุณยายแสนใจดีชาวอังกฤษอายุ 89 ปี พร้อมกับเพื่อนชาวญี่ปุ่นอีกคนที่ชื่อ ชิโตเสะ สาเหตุทั้งหมดที่ฉันไปที่นั่นก็คือ ฉันไปเข้าร่วมโครงการ host family ให้เด็กต่างชาติเรียนรู้วัฒนธรรมอังกฤษสำหรับช่วง Christmas อันแสนเงียบเหงา เปิดตา... มองท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ จากที่เคยสุดเอื้อมไกล กลับคว้าไขว่ใช่เพียงเงา ไม่น่าเชื่อว่า Debby แม้อายุจะมากแล้ว ก็ยังแสนแข็งแรงขับรถมารับฉันที่ท่ารถของเมือง แล้วก็พาฉันไปอยู่ที่บ้านอันอบอุ่นนั่นในช่วงฤดูหนาว ความอบอุ่นที่กล่าวถึงนั่นไม่ได้มาจาก heater เพราะบ้านหลังนี้เป็นระบบเก่าที่ใช้แก๊ส จึงไม่ค่อยอุ่นนัก แต่เรามีเตาไฟและผ้านวม แต่ความอบอุ่นมาจากน้ำใจของคนที่นี่ การได้มาที่นี่ทำให้ฉันได้เรียนรู้ชีวิตของคนอังกฤษ จริงๆ แล้วพวกเค้าเป็นคนที่น่ารัก ครอบครัวที่อบอุ่นทีเดียว และก็รู้เรื่องราวมากมาย ของประเทศต่างๆ ในโลก โดยเฉพาะ Debby ผู้ซึ่งสมัยสาวๆ เคยเดินทางเกือบทั่วโลก และเคยมาประเทศไทย (ทางเรือ) แล้วประทับใจ นั่นคงเป็นเหตุผลหนึ่งที่เค้ารับเด็กเอเซียอย่างพ