Skip to main content

ความงดงามของไตรลักษณ์

มีคนเคยบอกฉันว่าเด็กแรกเกิดจะร้องไห้ไขว่คว้ากำมือแน่นเพื่อจะยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่าง แต่คนที่จากไปจากโลกจะคลายมือปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนสอนให้รู้ว่าชีวิตคนเราที่ไขว่คว้าอะไรมาถึงวันสุดท้ายก็เอาอะไรไปไม่ได้ คนเราทุกคน เกิดมาแล้วก็ต้องเติบโตไปในแต่ละเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนๆ กัน คือทุกๆ คนจะเจอสภาวะธรรมที่เรียกว่า "ไตรลักษณ์" (ซึ่งสมัยเด็กๆ ฉันคิดว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องที่ฟังแล้วมึนๆ ไม่เข้าใจซักเท่าไหร่ ก็ท่องๆ ในวิชาพระพุทธศาสนาน่ะนะ ว่าไตรลักษณ์ มีคำว่า ไตร- แปลว่า 3 เลยประกอบด้วยลักษณะสามอย่างคือ "ทุกขัง" "อนิจจัง" "อนัตตา" และก็รู้ว่าแต่ละตัวมีความหมายยังไงเลยทำข้อสอบก็ได้เกรด 4 มาได้ง่ายๆ แต่ถ้าถามว่าสมัยเรียนมัธยม "ตระหนัก" ไหมว่ามันคืออะไรกันแน่นอกจากตัวหนังสือ ก็ต้องตอบว่า "ไม่")

แต่ธรรมชาติก็ไม่โหดร้ายกับเราเท่าไหร่นัก ชีวิตของคนก็จะค่อยๆ ถูกสร้าง "ปัญญา" ให้คนเรียนรู้อะไรขึ้นตามประสบการณ์ในห้วงเวลาที่ค่อยๆ เดินไป ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้เรียนรู้ถึงชีวิต(ในระดับหนึ่ง) และทำให้เริ่มเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น (แต่ก็ยังไม่ถึงที่สุด) เมื่อเวลาได้เดินผ่านไป สำหรับชีวิตคน ไตรลักษณ์ที่จะเห็นได้ง่ายๆ ในวัยเด็ก ก็คือเรื่องความรัก =^_^= ในช่วงเวลาของความรัก ช่วงต้นๆ ความทุกข์อาจจะดูน้อย (มีคนบอกว่าความสุขคือสภาวะทุกข์น้อย) แต่ความทุกข์อาจเติบโตขึ้นได้ถ้าคนเราเกิดยึดติดความสุขที่เข้ามาทักทาย แต่จริงๆ แล้วทุกสิ่งนั้นมีสภาพเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง (แต่ว่าแต่ละอย่างอาจมีเวลาไม่เที่ยงที่ไม่เท่ากัน) และไม่ได้มีตัวตน การจะบังคับให้ทุกอย่างหยุดเวลาไว้ในวันที่ดีที่สุดมักเป็นไปได้ยาก คนบางคนเวลามีความสุข ก็อยากจะภาวนาว่าอยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้ (ซึ่งฉันก็เคยเป็น) ก่อนที่จะเรียนรู้กับตัวเองอย่างง่ายๆ ว่า มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเวลาก็เดินต่อไปตามธรรมชาติ

บางคนอาจมีความรักที่สมหวังในทางโลกอยู่กันจนแก่จนเฒ่าแต่สุดท้ายก็ต้องจากกันไปเพราะชีวิตคนเราก็คือสิ่งหนึ่งที่เป็นทุกข์ คือไม่ได้สามารถคงอยู่เป็นนิรันดร์ หรือคนบางคนอาจจะโชคดีในอีกรูปแบบคือได้รู้จักไตรลักษณ์อย่างรวดเร็วตั้งแต่ยังเด็กๆ เช่นคนที่มีความรักและพบกับความผิดหวัง

สมัยฉันยังเด็กๆ มากๆ ฉันเป็นคนใจร้ายระดับหนึ่งที่มองตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง มีความมุ่งมั่นที่จะทำอะไรที่ฉันอยากทำ และไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับความรักซักเท่าไหร่ ดังนั้นฉันจึงไม่ค่อยสนใจคนที่เข้ามา "วุ่นวาย" กับชีวิตของฉันเลย (จริงๆ พวกเค้าก็เข้ามาดีๆ อ่ะนะ แต่ฉันมองไปว่าวุ่นวาย/และแอบรำคาญ ซะงั้น) ฉันจำได้ว่า ใจฉัน (ตอนเด็กๆ) ไม่ได้มองความรู้สึกคนอื่นเลยขนาดว่า เคยมีคนมาสารภาพรักฉันแล้วฉันปฏิเสธ มาเปรยว่าเค้ารู้สึกอยากจะไปฆ่าตัวตายเพราะฉันไม่ยอมคบกับเค้า แล้วฉันก็มองเค้าเฉยๆ แล้วก็ตอบไปว่า "ตามสบาย" (^^') /หมายเหตุ: เด็กๆ เพื่อนบางคนตั้งฉายาฉันว่า "ราชินีน้ำแข็ง" อะไรประมาณนั้น

แต่แล้ววันหนึ่งพอฉันเรียนมหาลัย ฉันก็มีความรักกับเค้าบ้าง (ทั้งๆ ที่ัเคยรับปากคุณพ่อ คุณแม่ว่าจะไม่คบใครให้เสียการเรียน /แต่ถึงมีแฟนก็ไม่เสียการเรียนเลยโมเมว่าทำได้ตามที่รับปากนะคะ อิอิ) และฉันก็ได้เข้าใจว่า ความรู้สึกของคนอื่นเวลามีความรักนั้นเป็นอย่างไร อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นเป็นอย่างไร ได้พบความสุข และได้รู้จักความทุกข์ (ที่มองย้อนไปก็ต้องสะท้อนใจว่าทำตัวเองทั้งนั้น อิอิ) ฉันกับแฟนคนแรกเลิกกันหลังจากที่พวกเราตัดสินใจไปเรียนต่อเมืองนอกด้วยความมุ่งมั่นว่าต่างคนต่างอยากจะเรียนต่อกันให้ถึงปริญญาเอกคงไม่ได้เจอกันหลายปี ตอนนั้นฟังจากหลายๆ คนพูดแล้วเข้าใจผิดว่าน่าจะไม่ได้เจอกันอย่างน้อย 7 ปี เค้าเลือกไปเรียนอเมริกา ส่วนโชคชะตาก็พาฉันไปเรียนที่อังกฤษในปีเดียวกัน (แล้วก็มาค้นพบทีหลังตอนเรียนว่าจริงๆ เรียนเมืองนอกมันไม่ได้ยาวขนาดนั้นก็ได้ เค้าเรียนโท-เอก สามปีครึ่ง ส่วนฉันก็เรียน โท-เอก จบได้ใน 4 ปีเอง ทำไมใครๆ ชอบข่มขู่ว่าเรียนนาน ชิร์ๆ)

แล้วพวกเราก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ส่วนใหญ่ปัญหาเป็นตัวฉันเองที่งอแงไร้สาระผ่านระยะทางไกลระดับนึง ฉันได้เรียนรู้ถึงความทุกข์ของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากตัวเอง (ถ้าใครเคยอกหัก แล้วหยุดคิด มองตัวเองตอนมีความเศร้าอย่างมีสติ อาจจะรู้สึกว่าเรามาเป็นอย่างนี้ได้ยังไงนะแล้วก็ค้นพบว่าเรามีความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ในทางลบ เคล็ดลับของการหายเจ็บจากการอกหักก็ต้องตระหนักให้ได้ว่า เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกแย่ก็ได้นี่

แต่ฉันก็หาเรื่องใส่ตัวเองได้บ่อยๆ เวลาผ่านไปฉันก็มีแฟนใหม่ตอนที่เรียนอังกฤษ ตอนนั้นที่แอบเซ็งเล็กๆ คือพอจบกลับมาเมืองไทยพาแฟนใหม่มาแนะนำเพื่อนๆ ฉันที่เมืองไทย เพื่อนๆ บางคนมีแอบแซวว่าอย่างนี้นี่เองฉันถึงได้เลิกกับแฟนเก่า (ซึ่งมันไม่ใช่อ่ะ เวลามันไม่่ได้ซ้อนกัน) แฟนเก่ากับฉันก็ดีนะ เพราะพวกเรากลายเป็นเพื่อนที่ดี เป็นเพื่อนที่ดีจนทำให้ฉันลืมไปบ่อยๆ ว่าพวกเราเคยคบกัน จำได้ว่าเคยไปงานเลี้ยงแต่งงานเพื่อนเก่า แล้วมีเพื่อนคนหนึ่งแอบแซวว่า "ถ่านไฟเก่าไม่คุเหรอ?" ฉันก็งงๆ ว่า ถ่านไฟไหน? แล้วก็ถึงบ้างอ้อเมื่อจำได้ว่า ฉันเคยคบกับเค้านี่ และกำลังถูกแซวอยู่ (^^') /แต่จริงๆ ก็ไม่ค่อยรู้สึกว่าเป็นคนๆ เดียวกันซักเท่าไหร่ เพราะแฟนเก่าฉันน่ะ สมัยก่อนผอมๆ นินา เลยคิดว่าคนที่เจออ้วนๆ คนนี้เป็นอีกคน (หุหุ)

โอ๊ะ... เขียนโน๊ตยาว รวบรัดตัดตอนเอาเป็นว่า พอเวลาผ่านไปและชีวิตเจออะไรมากขึ้น ฉันคิดว่าฉันเข้าใจไตรลักษณ์มากขึ้น ทุกสิ่งมีเกิด ก็มีดับ มีสุข ก็มีทุกข์ การไม่เที่ยงเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อหลายเดือนก่อนฉันไปงานแต่งงานเพื่อนอังกฤษ ก็เจอคุณแฟนเก่าสมัยเรียนอังกฤษ พวกเราก็คุยกันเฮฮาดี ฉันก็ยังแซวๆ ถามเค้าไปว่าแฟนใหม่เค้าเป็นไงบ้าง? มีเพื่อนมาถามว่าฉันโอเคเหรอที่เจอเค้า? ฉันก็ได้พบคำตอบว่า ฉันโอเค สิ่งง่ายๆ ที่ทำให้ฉันลั้นลาได้ก็คือวันที่ฉัน "ตระหนัก" ได้ว่าทุกสิ่งนั้นเป็นไตรลักษณ์ ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงคือความงดงาม ที่กำลังสอนธรรมะให้กับเราด้วยการสร้างประสบการณ์ชีวิตให้เราได้พบเจอ ไม่ว่าเวลาที่ทุกข์เกิดขึ้นจะทำให้เกิดทุกข์ได้ขนาดไหน พอตั้ง "สติ" ได้แล้วมองย้อนกลับไป มันก็คือประสบการณ์หนึ่งที่ทำให้เราได้เติบโต :) :D

ทักทายไตรลักษณ์...
แสร้งทำไม่รู้จักจะได้ไหม?
ในวันที่สตินั้นอาจเลือนไป
เกิดหลงไหลไปในห้วงวันเวลา

แต่ไตรลักษณ์ก็วิ่งตามมาทักบ้าง
ไม่ทิ้งร้างเป็นมิ่งมิตรเสน่หา
คอยเตือนเราให้ได้ซึ้งซึ่งธรรมา
ให้ทราบว่าความไม่เที่ยงนั้นมีจริง :)




หมายเหตุ: แรงบันดาลใจในการเขียน คือเห็น facebook wall ของหลายๆ คนเขียนบ่นระบายปัญหามากมาย เลยอยากเขียนปลอบเพื่อนๆ ที่มีความทุกข์อยู่ในปัจจุบัน
Create Date : 13 กันยายน 2554

Comments

Popular posts from this blog

Dubai

  เมืองใน เขตร้อน ทะเลทราย สมัยก่อนเคยมา Dubai เร็วๆ แวะตอน Transit แต่ไม่ได้มีเวลาเที่ยวละเอียด คราวนี้เลยลองมา Dubai แบบยาวๆ หน่อย เลยทำให้มีเวลาดูอะไรๆ มากขึ้น ภาพแรกด้านบนคือย่านตลาดเก่า Heritage Village ที่ขายของท้องถิ่นเชิงวัฒนธรรม ภาพที่สองด้านบนคือภาพสถานีรถไฟฟ้าทันสมัยที่สามารถเดินทางได้สบายด้วยบัตร Nol Card (ซื้อได้ด้วยบัตรเครดิต) ส่วนภาพด้านล่างคือป้ายรถเมล์ทันสมัยติดแอร์เย็นๆ เดิดูปลอดภัยมากๆ สร้างจน กลับกลาย เป็นสวรรค์ ภาพข้างบนคือภาพข้างในรถเมล์ที่นอกจากจะนั่งสบายแอร์เย็นฉ่ำๆแล้ว ยังบอกละเอียดว่าตอนนี้อยู่ป้ายรถเมล์ไหน กำลังจะไปไหนและคาดว่าจะถึงที่ไหนในอีกกี่นาทีเป๊ะมากๆ (ยังไม่พอคือเชื่อมข้อมูลกับ App ได้เป๊ะมากๆ ดูรถเมล์รออะไรๆ คือเดินทางสบายระดับหนึ่ง) – ภาพข้างล่างคือไปเยี่ยมชม Museum of the future เมื่อคน ตั้งใจ ร่วมมือกัน ภาพข้างบนคือหุ่นยนต์ผลิตน้ำหอมใน Museum of the future / ส่วนข้างล่างคือลองแวะไปใช้บริการสปา ของ ร.ร. Armani ที่อยู่ข้างในตึก Burj Khalifa ที่สูงที่สุดในโลก เป็นสปาที่ หรูหราอลังการ สบายมากๆ (ไม่ได้ถ่ายรูปข้างในเพราะพอเข้าไปก็เอามือถือไปเก็บในล็...

ภูเก็ต - Day 1

ระยะทาง... เป็นห้วงห่างสร้างความหมาย ผ่อนอารมณ์พอระบาย จนยิ้มง่ายกับชีวิต วันหยุดอาทิตย์ก่อน ไปภูเก็ตมา นับเป็นการเดินทางไปเยี่ยมดินแดนไข่มุกอันดามันอันลือชื่อเป็นครั้งแรกหลังจากที่ฟังเพื่อนๆ ชาวต่างชาติมาชื่นชมให้ฟังถึงความงดงามของที่นี่มานาน การเดินทางคราวนี้จุดหมายหลักคือมาร่วมงานแต่งงานของเพื่อนสนิทสมัยมหาวิทยาลัย (ทั้งคู่) ทำให้เพื่อนๆ ที่สนิทกันสมัยวิศวะเกษตรกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เสียดายที่หลายๆ คนมาไม่ได้จึงมีเพื่อนๆ ร่วมรุ่นมาร่วมขบวนการกันอยู่เพียง 4 คน... โชคชะตา... แม้ฝืนกล้าท้าลิขิต ลวงเวลามาเป็นมิตร ก็เพียงจิตคิดห่างไกล วันแรกที่มาถึงพวกเราก็ลงขันเช่ารถกัน จุดหมายแรกคืออุทยานแห่งชาติสิรินาถแป๊บนึงแล้วก็ขับเข้าเมือง หลงทางกันพอควรทำให้พลาดสถานที่ที่ตั้งใจเที่ยวไป แล้วก็หิวตาลายหาข้าวเช้าติ่มซำกินกันแล้วก็เดินเล่นเล็กน้อยในตัวเมือง เสร็จแล้วก็ตรงไปยังที่พัก งานนี้ต้องขอบคุณติ๊ก เพื่อนผู้น่ารักที่เคยไปเรียนปริญญาโทที่เคมบริดจ์รุ่นเดียวกันกัน ที่เอื้อเฟื้อจัดหาสถานที่ให้ ที่พักเป็นโรงแรมสีขาวสะอาดสะอ้านชื่อ rawai beach resort ที่หาดราไวย์... สายลมร้อน... มิอาทรตอนอ่อ...

Rome

ภาพเก่าเงาสะท้อน ให้มองย้อนถึงวันวาน ความหลังอันหอมหวาน จึงจดจารลงทรงจำ กรุงโรมประเทศอิตาลี เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ฉันใฝ่ฝันมานานว่าจะได้มาซักครา และแล้วในที่สุดก็ได้มา เมืองนี้เป็นเมืองที่มีอะไรเยอะมาก ฉันถ่ายรูปมาหลายร้อย และคัดรูปมาลงเพียงสิบกว่าภาพ มีหลายภาพที่คัดมาแล้วตัดออกด้วยความเสียดาย -- เพราะก็ไม่อยากทำ blog ด้วยภาพเยอะนัก :) ภาพงามความตรึงใจ ยังสวยใสให้ดื่มด่ำ จนต้องมาเพ้อพร่ำ ใส่ถ้อยคำ... จารกวี ภาพด้านบนสุดเป็นภาพวิวริมแม่น้ำไทเบอร์ตอนพระอาทิตย์ตก ภาพถัดลงมาเป็นอาหารเย็นของที่นี่ ภาพถัดลงมาเป็นวิวสระน้ำของโรงแรมที่มองเห็นได้จากหน้าต่าง และภาพด้านบนคือ Colosseum หนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันอยากมากรุงโรม @^_^@ สูงส่งเกินบรรยาย สื่อความหมายสร้างศักดิ์ศรี สร้างสรรอย่างพอดี ให้คนมีความทรงจำ หินที่สร้างขึ้นมาเป็นโครงดูแล้วเริ่มผุกร่อนเป็นหลุมๆ ลงไป (ดั่งภาพด้านบน) มีการบูรณะก่อสร้างบ้าง แต่ก็ต้องทึ่งว่าสมัยก่อนชาวโรมันคงยิ่งใหญ่มาก ขนาดสร้างสนามกีฬาใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมาได้ น่าเสียดายที่อาณาจักรที่ยิ่งให...