กาลเวลา ผ่านมาไม่เท่าไหร่ กลับกลายดูเก่าไป เมื่อใจนั้นลืมเลือน |
วันที่สองพวกเราก็ไปร่วมงานแต่งงานที่อุทยานอาหาร ไทนาน ครั้งแรกที่เห็นพวกเราถึงกับตะลึงกับความสวยงามและยิ่งใหญ่ของสถานที่จัดงานที่สวยงามไปด้วยศิลปะไทย ลานนา และ จีนอย่างลงตัว งานแต่งงานค่อนข้างใหญ่ทีเดียว เห็นแล้วก็แอบเหนื่อยแทนเพื่อน (ทั้งคู่บ่าวสาว) ที่สามารถจัดงานใหญ่ขนาดนี้ได้ เจ้าสาวมาในชุดท้องถิ่นทางใต้สวยงามมาก (แต่ไม่ได้จังหวะดีๆ เลยไม่ได้ถ่ายมาชัดๆ พอที่จะเอามาลง blog)...
เรื่องวันวาน ผันผ่านยากย้อนเหมือน รับทราบสอนใจเตือน เป็นเพื่อนความทรงจำ |
สิ่งที่ค่อนข้างปลื้มที่สุดของงานแต่งงานเพื่อนคือละครเด็กๆ ที่เล่นกัน เป็นการเล่าเรื่องราวว่าคู่บ่าวสาวมีเรื่องราวในอดีตกันมาอย่างไร โดยที่ตัวไร้นามก็ได้ถูกนำไปเป็นตัวละครตัวหนึ่งในนั้น ระหว่างดูละครก็ทำให้หวนถึงคือวันเก่าๆ สมัยเรียนวิศวะเกษตรฯ ตอนที่เฮฮากันไปวันๆ กับเพื่อนๆ ถึงตอนนี้พอนึกย้อนไป เหมือนกับเมื่อวันนั้นได้ผ่านมาแล้วนานแสนนาน...
ที่ขอบฟ้า ไกลตาพาดื่มด่ำ งามล้นท้นเกินคำ เลิศล้ำเหนือบรรยาย |
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยคือความรู้สึกสนิทสนมของกลุ่มเพื่อน พวกเราเจอกันเฮฮาทักทายพูดคุยกันได้เหมือนสมัยก่อนเหมือนกันว่าเวลาไม่ได้ผ่านไป ทั้งๆ ที่ถ้านับกันดีๆ แล้วพวกเราไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันแบบนี้เกือบสิบปีแล้วนะ ไม่น่าเชื่อว่ากาลเวลาได้เดินทางมาและไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้...
ความเคลื่อนไหว เลื่อนไหลไร้ความหมาย ความนิ่งนั่งเสียดาย เกินคลายพ้นวังวน |
พองานเลิกพวกเราก็ออกเที่ยว จุดหมายแรกคือเขารังเพื่อชมวิวทิวทัศน์เมืองภูเก็ต สถานที่นี้น่าชื่นชมตรงที่เป็นสวนสุขภาพที่จัดไว้ได้อย่างสวยงาม ต่อมาพวกเราก็ไปส่งเหมา เพื่อนคนหนึ่งที่ต้องรีบกลับกรุงเทพเพื่อนไปงานแต่งงานของเพื่อนอีกคนในตอนเย็น แล้วเราก็เริ่มออกเที่ยวโดยไล่ลงจากสนามบินไปหยุดชมทัศนียภาพตามหาดต่างๆ ของฝั่งตะวันตก...
ตามรายทาง อาจว่างทุกแห่งหน หากมองไม่พ้นตน ยากยลเห็นอื่นใด |
ภาพถ่ายด้านบนเป็นภาพที่ค่อนข้างชอบภาพหนึ่ง เพราะเป็นภาพที่ถ่ายจากบนรถในขณะที่รถวิ่ง โดยวิวนี้อยู่ด้านหน้า คือถนนเป็นโค้งและกำลังลงจากเขา จึงเป็นแนวที่เห็นวิวอ่าว ไร้นามนั่งข้างหลังและต้องซูมกล้องออกไป จำได้ว่าเพื่อนๆ ถามว่าจะต้องหยุดรถให้ถ่ายรูปนี้ไหม แต่ในที่สุดก็ถ่ายได้โดยไม่ต้องหยุดรถ...
สุดทางตัน ไหวหวั่นดั่งสิ้นไร้ มองไปไม่พบใคร ทำใจเดินกลับพอ |
ภาพข้างบนเป็นวิวอีกวิวที่ชอบ มองไปแล้วรู้สึกเหมือนพระอาทิตย์กำลังเริ่มระบายแสงลงสีที่แสนสวยงามให้ท้องทะเล เหมือนธรรมชาติกำลังแสดงให้ผู้คนได้ตระหนักว่าทุกสิ่งนั้นมีความหวังอยู่เสมอ ส่วนภาพด้านล่างนี้ถ่ายที่จุดชมวิวที่เห็นหาดสามหาดกับเพื่อนๆ ที่มากันในทริป (น้องไกรเป็นคนถ่าย)...
แสงเรืองรอง ยลมองยามใจท้อ เกิดหวังเข้าถักทอ รู้พอเพราะพบตน |
แรกเริ่มเดิมทีพวกเราคิดจะแวะหาอะไรทานกันที่ป่าตองเพื่อชมสีสันของยามราตรี แต่พอดีเวลาเหลือค่อนข้างมากก็เลยเปลี่ยนใจลงไปที่แหลมพรหมเทพเพื่อดูพระอาทิตย์ตก ระหว่างทางก็เที่ยวเล่นตามหาดต่างๆ ตามเวลาที่มี แต่พอมาถึงก็ยังค่อนข้างเร็วและผู้คนที่นี่ค่อนข้างมากมายเพราะมีคณะทัวร์ลงเลยตัดสินใจเดินเล่นดูประภาคาร และซื้อของบริเวณนั้นเฉยๆ...
ความชุ่มชื่น ร่มรื่นทุกแห่งหน งดงามบันดาลดล สร้างมนต์ให้ชื่นใจ |
พวกเราก็เลยออกไปเสาะแสวงหาร้านใหม่กัน จุดหมายคือต้องการทานอาหารอร่อย จึงได้คำแนะนำจากเพื่อน (เจ้าบ่าว) ว่าให้ไปทานที่ร้านตังเก พวกเราก็เลยขับรถเลียบไปทางหาดด้านฝั่งตะวันออก ร้านอาหารร้านนี้อาหารอร่อยบรรยากาศดีมาก แต่บริการค่อนข้างช้า สำหรับคนที่มีเวลาก็เหมาะ แต่สำหรับพวกเราก็ทานไปร้อนใจไปว่าจะทันเครืองบินหรือไม่เล็กน้อย...
อิ่มอารมณ์ สุขสมมิหวั่นไหว ด้วยพบว่าทุกข์ใด ก็ไร้ซึ่งตัวตน |
การเดินทางครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี สิ่งที่เติมเต็มให้เป็นการเดินทางที่ดีคือเพื่อนๆ ที่อยากจะกล่าวคำขอบคุณไม่ว่าจะเป็น "ติ๊ก" ที่ให้พักที่โรงแรม เลี้ยงข้าวกลางวันและพาเที่ยวในวันแรก; "นก" & "จิ" ที่พาไปเลี้ยงอาหารเย็นและขนมแสนอร่อยก่อนวันงานที่แสนยุ่ง พร้อมกับช่วยให้คำแนะนำตลอดการเดินทาง; "เหมา" ที่ชวนคุยแนะนำสิ่งดีๆ ให้ตลอดทาง; "โกโก้" ที่ช่วยกันวางแผนเดินทางและช่วยขับรถ; "มะนาว" ที่ช่วยขับรถและให้ความเป็นเพื่อนได้เหมือนที่เคยเป็นมา และ น้อง "ไกร" ที่มาเป็นเพื่อนและคอยช่วยหิ้วข้าวของตลอดการเดินทาง...
กาลเวลา ผ่านมาเพื่อสร้างผล ให้เห็นเปลี่ยนเวียนวน ดลคนให้พบธรรม |
Create Date : 11 กรกฎาคม 2549 |
Comments