Skip to main content

Philadelphia


ที่เดินทางมาไกลเพราะใจรัก
อยากรู้จักเมืองเก่าในแดนใหม่
ถิ่นที่แรกจุดเริ่มต้นศิวิไลซ์
ที่ประกาศความเป็นไทสร้างเสรี


เมื่อปีก่อนเคยคิดว่าจะบินจากเมืองไทยมาเยี่ยมชม Philadelphia สักหน่อยเพราะอยากมาดู Independence Hall / UNESCO World Heritage ที่ๆ อเมริกาประกาศอิสระภาพ (ตามประสาคนที่ชอบระบอบประชาธิปไตย) แต่งานวุ่นๆ เลยไม่ได้มา ปีนี้แวะมาทำงานอเมริกาพอดี เลยขออนุญาตท่านประธานบริษัทลาพักร้อนหยุดติดกัน 4 วันบินจากฝัง West มาฝั่ง East เพื่อตามหาความฝันที่คิดไว้


แบกเป้เล็กใบเดียวเที่ยวทั่วเมือง
เดินดูความรุ่งเรื่องและแสงสี
จึงเรียนรู้ถึงชีวิตที่สุขดี
ช่างเรียบง่ายตามวิถีความเป็นไป


ต้องบอกตรงๆ ว่าเดินทางมาอเมริการอบนี้ได้แวะเมืองต่างๆ เป็นสิบเมือง ชอบเมือง Philadelphia ที่สุด อาจจะเป็นเพราะว่ามีย่านโบราณที่เค้าอนุรักษ์ไว้เพราะได้มรดกโลกและเมืองที่มีประวัติศาสตร์ คนที่นี่เองก็มีน้ำใจและมีระเบียบวินัย ของกินอร่อยแนว Local ทำกันมาหลายปี สลับกับอะไรๆ Modern ที่สร้างเข้ามาผสมได้อย่างกลมกลืน และที่ชอบอีกอย่างคือภาษีรัฐนี้ถูกมาก (แม้จะไม่ฟรีแบบ Oregon) เลยแวะเข้า Apple Store จะไปซื้อ Apple Watch แต่เสียดายที่หมด stock


ในที่ว่างความวุ่นวายกลับเบาบาง
เป็นความต่างอย่างลงตัวจนสงสัย
เกิดคำถามมากมายว่าสิ่งใด
ที่สรรสร้างบันดาลไว้ให้สวยงาม


โบราณสถานของเมืองนี้ส่วนใหญ่จะเข้าชมฟรี แต่ต้องมีการเข้าคิวจองรอบ (เพราะจะมีไกด์ทัวร์ให้) แต่ภาพใน Series ข้างล่าง Liberty Bell นั้นเข้าชมได้อิสระโดยไม่ต้องมีไกด์ทัวร์ แต่จะมีการตรวจค้นกระเป๋าอย่างเข้มๆ หน่อยเพราะว่าเป็นของอนุรักษ์ ระฆังอันนี้คืออันที่อเมริกาใช้ตีประกาศอิสระภาพ แต่การมาเยี่ยมชมประวัติก็ทำให้รู้สึกแปลกๆ เล็กน้อยเพราะเป็นการประกาศอิสระภาพจากอังกฤษ (ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่าอังกฤษเลยผูกพันกับอังกฤษนิดหน่อย /แอบสงสารอังกฤษ)


เมื่อเสรีมาเยือนอีกคราหนึ่ง
ก็รู้ซึ้งจนใจหมดคำถาม
อิสระไม่ปิดกั้นเป็นนิยาม
ให้เรียนรู้ดูตามและตรึกตรอง


เมืองนี้มีรถม้าน่ารักๆ ขี่ชมเมือง (ในย่านเมืองเก่า) เห็นแล้วนึกถึงจังหวัดลำปางขึนมาเล็กน้อย แต่เสียดายเวลาไม่พอเลยไม่ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่อยากทำที่นี่ เลยได้แต่เดินเล่นรอบๆ ถนนนั้น ซอยนี้ เพื่อศึกษาความเป็นไปของวิถีชีวิตของผู้คน (ตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น)


บทกวีใดใดเขียนบรรยาย
ก็ไม่อาจระบายความหม่นหมอง
ของผู้คนยามทนทุกข์ถูกปกครอง
ในครรลองเผด็จการ ไร้เสรี


ที่นี่อะไรๆ มักจะเกี่ยวกับคำว่า Independence (ประกาศอิสระภาพ) ตอนไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บางแห่ง (แต่ไม่ใช่ที่เมืองนี้) แล้วศึกษาประวัติศาสตร์ดีๆ จริงๆ แล้วก็เป็นเพราะยุคนั้นผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่รู้สึกอึดอัดกับการถูกเก็บภาษีเลยประกาศอิสระภาพจะได้ไม่ต้องจ่าย แต่พอมองกลับกันในอีกมุมหนึ่ง(คือมุมอังกฤษ) ก็คือตอนเข้ามายึดอเมริกาและตั้งถิ่นฐานขึ้นมาใหม่ๆ อังกฤษระดมเงินในคลังออกมาเยอะมากพอตั้งตัวได้เลยอยากให้ส่งเงินกลับเข้าไปบ้าง สรุปคือสงสารอังกฤษ เข้าใจอเมริกา


แล้วผู้คนหลายคนก็สรรสร้าง
วางเส้นทางประกาศซึ่งศักดิ์ศรี
สร้างระบบคัดสรรเลือกตั้งที่
ให้ทุกคนมีเสรีเลือกตามใจ


ที่ท่าเรือมีรูปปั้นอันนึงที่ฉันยืนมองอยู่นาน (ภาพข้างล่าง) คือภาพที่มีคนที่เดินทางข้ามทวีปกำลังลงจากเรือ รูปปั้นสมจริงดูมีชีวิตชีวาบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของคนยุคนั้นได้เป็นอย่างดี ฉันสะท้อนใจเล็กๆ นึกถึงอากงของฉันที่หอบเสื่อผืนหมอนใบ (หรือเปล่า? ไม่รู้ เพราะไม่ได้คุยกะกง) นั่งเรือมาจากเมืองจีนมาที่แผ่นดินไทย คนเหล่านี้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วยความหวังว่าจะเจอชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น


เมื่อชีวิตรื่นรมย์ก็ชีวิต
สรรสร้างสิทธ์เสาะหาทางสดใส
แม้ไม่รู้ว่าเส้นทางเป็นเช่นไร
ก็กล้าไปเลือกฝันของตนเอง


ความสุขอันนึงของฉันของทริปนี้คือได้กินไอติมโลคอลเจ้าดัง (ภาพข้างบน) ของร้าน Franklin Fountain ที่อยู่ย่าน Old City ร้านนี้แถวยาวมากคดเคี้ยวไปมา จนฉันตัดใจเดินผ่านไปหนึ่งรอบ แต่พอเดินจนทั่วอีกครึ่งชั่วโมงก็ตัดใจไม่ลงต้องวนกลับมาต่อแถวยาวๆ เป็นชั่วโมง (คืองงว่าร้านไอติมเก่าแก่ตั้งมาตั้งแต่ปี 1899 ทำไมคนยังมาเข้าแถวยาวๆ กันอยู่ /ไม่น่าจะใช่การต่อแถวตามกระแสแบบคนไทย << ปกติคนไทยจะชอบต่อแถวร้านใหม่ๆ/ แสดงว่าน่าจะอร่อยจริง) พอซื้อมาได้ก็ต้องบอกเลยว่าเป็นไอติมที่อร่อยจริงๆ เนื้อครีมเข้มข้นแล้วเค้าตั้งใจตักให้เยอะๆ มากๆ (ไม่แพงด้วย)


เพราะตามหาตัวตึกหลังแบ็งค์ร้อย
เลยเกิดรอยเดินทางเส้นทางใหม่
เรียนรู้ซึ้งถึงประชาธิปไตย
ที่ประกาศเสรีไว้ ในที่นี้




Create Date : 08 ตุลาคม 2558

Comments

Popular posts from this blog

Saraburi

อุ่นไอแดดแผดริ้วไล้ผิวโลก ลบทุกข์โศกวาดสิ่งใหม่ใส่เติมฝัน เปิดท้องฟ้าจากมืดมิดพลิกงามพลัน สมเฉกชั้นธรรมชาติวาดระบาย เมื่อเดือนก่อนได้มีโอกาสไปทำบุญที่สระบุรีและแวะเที่ยวฟาร์มโชคชัยกับทาง Software Park และ สวทช. ตอนทำบุญก็ทำบุญเพลินไปเล็กน้อยเลยไม่ได้ถ่ายภาพมา เพิ่งรู้ตัวว่าควรถ่ายรูปบ้างก็ตอนเที่ยวฟาร์มโชคชัยดังนั้น Blog คราวนี้เลยมีแต่ภาพฟาร์มโชคชัยเป็นหลักนะคะ หมู่ปักษาโบยบินบนห้วงฟ้า ยึดนภาดั่งเช่นเป็นจุดหมาย สร้างเสรีเป็นของตนจนปล่อยคลาย ไม่เสียดายพื้นดินบินขึ้นไป ฟาร์มโชคชัยจัดไว้ดีพอสมควรคือแบ่งทัวร์เป็นกลุ่มๆ แล้วนั่งรถไปชมจุดการแสดงประกอบการบรรยายเป็นจุดๆ และให้เวลาเดินในแต่ละจุดพอสมควร ทำให้ได้สัมผัสชีวิตการทำฟาร์มโคนมแบบมีกลิ่นอาย Cowboys เล็กๆ เพราะมีการแสดงการดูแลฝูงวัวและอื่นๆ ให้ได้ชม ธรรมชาติวาดไว้ใส่ชีวิต ขีดลิขิตความงามตั้งแต่ไหน เพียงปลดปล่อยสายตาทอดออกไป อยู่ใกล้ๆ ไม่ไกล... ความงดงาม ส่วนที่ฉันชอบที่สุดในการเที่ยวฟาร์มคือการไปดูสวนสัตว์(เด็กๆ) และได้ให้อาหารสัตว์ เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ลองป้อนนมน้องวัวที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่กี่วัน คนคิดทำฟาร์มฉลาดทีเดียวที่ทำให้น้องวัวม...

Derwent Valley Mills

หุบเขา อุตสาหกรรม อันตระการ หนึ่งในทริปนี้ที่ทำให้ตัดสินใจซื้อ BritRail คืออยากทดลองนั่งรถไฟตามเส้นทางมรดกโลก UNESCO World Heritage: Derwent Valley Mills ที่มีหลายจุดตามแนวรถไฟในแผนที่ด้านบน แต่ด้วยเวลาจำกัดทริปนี้หลักๆ เลยแวะแค่สองเมืองคือ Derby และ Belper (ที่เหลือคือชมวิวตามแนวทางรถไฟดังรูปภาพบนสุด และ ล่างๆ) ที่ Derwent Valley Mills ได้มรดกโลก เพราะเคยเป็นย่านอุตสาหกรรมที่ทันสมัยตามแนวแม่น้ำ Derwent อย่างเป็นระบบในยุคก่อน มีตำนาน เล่าขาน จรดจารได้ ด้วยความที่ผ่านนี้เป็นเมืองอุตสาหกรรม ตามรายทางจะเห็นวิธีการผลิตไฟฟ้าด้วยถ่านหินของยุคก่อน จนถึงวิธีการผลิตไฟฟ้าแบบสะอาดของยุคใหม่ เช่นกังหันลม (ตามภาพข้างบน) และ Solar Cells (ซึ่งถ่ายภาพไม่ทัน) / ส่วนภาพข้างล่างคือภาพสถานีรถไฟ Belper ซึ่งเหมือนอยู่ในร่องหุบเขา ด้านบนๆ จะเป็นระดับถนนและแนวบ้านจะเข้าเมืองต้องเดินขึ้นบันไดขึ้นเนินเขาไปที่ระดับถนน เวลารถไฟมาในบริเวณนี้คือจะมีถนนตัดทางรถไฟอยู่ด้านบนเป็นระยะๆ ตามแบบในภาพ ให้ผู้คน รุ่นหลัง เรียนรู้ไว้ เมือง Belper เห็นในแผนที่ (ข้างบน) จะไม่รู้ว่าเป็นต่างระดับ แต่พอเดินก็พบว่าเป็นหุบเขาขึ้น...

Cambridge 2024 - Town

คิดถึง เคมบริดจ์ ...จึงกลับมา... กลับมาอังกฤษรอบนี้เป็นเพราะคิดถึงเมืองเคมบริดจ์ พอคอลเลจมีจดหมายเชิญให้คน Matriculation ปี 1999 กลับมา Reunion เพราะครบรอบ 25 ปีที่ลงทะเบียนเรียนที่เคมบริดจ์ และด้วยเหตุนี้ ทริปอังกฤษคราวนี้เลยตัดสินใจมาอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ถึง 4 วัน เพราะมีทั้งกิจกรรม Reunion ศิษย์เก่า ทั้งนัดพบปะเพื่อนฝูง-ครูบาอาจารย์ และ มีที่ๆ อยากจะดูนั่นดูนี่ของเมืองเคมบริดจ์ให้สมกะความผูกพัน (เพราะเคยอยู่ที่นี่ถึง 5 ปี) แล้วพอจัดทำภาพก็พบว่าทำเคมบริดจ์ blog เดียวนั้นไม่พอ เลยจะทำ blog ให้เมืองเคมบริดจ์ 2 อันนะคะ แบ่งเป็น Town & Gown (ส่วนที่เกี่ยวกับตัวเมือง และ ส่วนที่เกี่ยวกับตัวมหาลัย) เพราะเคมบริดจ์เป็นเมืองมหาวิทยาลัย คือทั้งเมืองเป็นมหาวิทยาลัย Town & Gown จะอยู่ผสมๆ กัน เป็นมหาลัยขนาดใหญ่และอบอุ่น ตามหา เรื่องราว ที่เคยฝัน บรรยายภาพก่อนนะคะ ภาพบนสุดเป็น Great St. Mary's Church โบสถ์หลักกลาง City Center ของ Cambridge จะอยู่ตรงใกล้ๆ Market Square วิวบริเวณนี้จะสวยมากๆ ใครมาเที่ยวเมืองเคมบริดจ์แนะนำนะคะ แถวนี้เดินได้ทั้งกลางวันและกลางคืน เมืองเคมบริดจ์เป...